บันทึกคนหลงทาง : อัยย์ รินทร์

เรือลำน้อยลอยลัดเลาะร่องน้ำด้วยฝีพายผู้ชำนาญ จากจุดที่ผมยืนกับอีกฟากฝั่งคลองน้ำอ้อม มองผ่านเลนส์ซูมระยะ ๗๐-๒๐๐ ก็ยังมองเห็นไม่ชัดว่าสองคนในเรือลำนั้นเป็นคู่รักหนุ่ม-สาวหรือตากับยาย ผมละสายตารอเวลาให้พวกเขาเข้ามาใกล้กว่านี้…

ฝูงนกพิราบบินถลาเล่นลมในเวิ้งฟ้ากว้างก่อนถลาลงเกาะสายไฟที่พาดผ่านลำคลองไปยังบ้านเรือนอีกฟากฝั่ง และแล้วเรือลำน้อยค่อย ๆ เลื่อนไหลผ่านร่องน้ำ ตาสวมหมวกกันแดดร้อนจ้วงพายลงน้ำ ซ้ายที ขวาที บางครั้งเปลี่ยนจังหวะคัดท้ายเรือให้ลอยไปตามโค้ง ในขณะที่ยายที่นั่งหัวเรือเอื้อมมือเด็ดผักบุ้งน้ำใส่ลงในตะกร้า 

เหล่าเด็กน้อยที่กำลังโยนอาหารให้กับปลาสวายบริเวณพื้นที่เขตอภัยทาน ปลาสวายขนาดใหญ่ตะกายยื้อแย่งอาหาร บางตัวลอยเหนือเพื่อนตัวอื่น ๆ หางของมันตะกุยน้ำจนซ่านกระเซ็นใส่หน้าเจ้าหนูน้อย ฝูงนกพิราบบินฉวัดเฉวียน จิกกินอาหารที่ถูกโยนลงบนพื้นแพริมน้ำ วิถีสัตว์ล้วนแล้วแต่ถูกสร้างมาให้อยู่ร่วมกันเป็นสังคม เมื่อมีสังคมก็ต้องยื้อแย่งแข่งขันผู้เป็นผู้นำ ต่างกับคนที่มีปัญญา มีความคิดแยกแยะถูก-ผิด มีเสรีภาพในการตัดสินว่าจะเลือกทำหรือไม่ทำสิ่งใด

img 6901 copy

เรือลำน้อยจอดเทียบท่าน้ำ มือข้างหนึ่งของตายึดหลักไม้ไม่ให้เรือโคลงเคลง ส่วนอีกข้างคอยหยิบข้าวของส่งให้ยาย- ยายก้าวเท้าขึ้นมายืนอยู่บนบันไดคอนกรีต ไอแดดแผดร้อนกับเท้าเปลือยเปล่า

“ไอ้แก่! มึงส่งรองมาให้กูก่อน เร็ว ๆ เห็นไหมว่ากูร้อน” พูดไปนางก็กระโดดโหยงเหยง ชายชราไม่พูดอะไรเร่งควานหารองเท้าแล้วส่งให้ มิวายตะแกลอบชำเลืองและส่งยิ้มให้ผม นาทีนั้นผมไม่กล้าส่งเสียงหัวเราะเพราะสายตาของยายแล้วท่าทางจะเอาเรื่อง ทันทีที่ได้รองเท้านาวเร่งสวมใส่แล้วหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังปากมุบมิบ ๆ เดินจากไป ส่วนตาผลักเรือออกจากท่าหันมาสบตา ยิ้มให้กับผม แล้วเราต่างปล่อยเสียงหัวเราะ
“มึง หัวเราะอะไรวะตาแก่?! แหม…! ไปเลยมึงรีบกลับบ้านไปเลย ” 

พระอุโบสถ

สิ้นเสียงยายชรา-ชายชราผู้เป็นสามีเร่งพายจ้วงลงน้ำดังถี่ ๆ หันไปมองอีกทีเรือน้อยลำนั้นลอยลัดเลาะโค้งร่องน้ำไปอย่างรวดเร็ว สายตาพิฆาตหันมาทางผม-ผมแสร้งยกกล้องขึ้นถ่ายนก ท้องฟ้า ก้อนเมฆและปลาสวายที่กำลังแย่งอาหาร ตะแกสะบัดหน้าเดินหายไป ผู้คนบนแพท่าน้ำก็หายไป ทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบ 

ยินแต่ฝูงปลาสวายที่ตะกายแย่งอาหารกันอยู่ในน้ำ หมู่นกพิราบบินวนเวียนเล่นลมอยู่กลางอากาศ ท่ามกลางความเงียบชวนให้ครุ่นคิด ปลาสวายจำนวนมากที่แหวกว่ายอยู่เขตอภัยทาน พวกมันคงรู้สึกปลอดภัยทว่าเขตอภัยทานบางแห่งกลับกลายเป็นกิจกรรมขายบัตรตกปลา…

ปล.เรื่องที่เล่าเป็นแค่เพียงบันทึกมุมมองความคิด ขณะนั่งเล่นในศาลาริมน้ำ

“วัดเสด็จหรือวัดสร้อยทอง” เป็นชุมชนลาวที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานครารัชสมัยพระบาทสามเด็จพระนั่งเกล้าฯ (ร.๓) ในปี พ.ศ.๒๓๖๙  เรียกขานกันว่าบ้านลาว พระบาทสมเด็จพระนั่งกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จมาเยี่ยมเยียนผู้คนในย่านวัดสร้อยทองและประทับอยู่ที่วัดสร้อยทอง ต่อมากลายเป็นชุมชนหนาแน่นขึ้น ทางราชการจึงได้ยกฐานะขึ้นเป็นตำบล ให้ชื่อว่าตำบลสวนพริกไทย และวัดสร้อยทองได้เปลี่ยนชื่อเป็น วัดเสด็จ ที่สำคัญคือว่ากันว่าบริเวณนี้คือแม่เจ้าพระยาสายเก่า.