บันทึกคนหลงทาง : อัยย์ รินทร์
เพียงเห็นเธอเหม่อมองดูสิ่งรายล้อมรอบกาย แมกไม้ สายธารและผืนฟ้า เพียงเท่านี้…ก็ทำให้ได้ผมถึงความกลมกลืนระหว่างสรรพชีวิตกับธรรมชาติ ภาพเด็กน้อยทิ้งห่าง หน้าจอมือถือ สมาร์ทโฟนหรือกรอบสี่เหลี่ยมที่เพิ่งมาไม่นาน แน่ละ…เด็กรุ่นใหม่ คนรุ่นใหม่ในโลกสมัยปัจจุบันหรืออนาคต วันเวลาเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว ไปกับสิ่งประดิษฐิ์คิดค้นจากมันสมองของมนุษย์ ทุกสิ่งในโลกนี้ถูกย่อลงบนหน้าจอสี่เหลี่ยม เรื่องเล่าหลากมุมมอง หลายแง่คิด สัมผัสแห่งความรู้ผ่านสายตา ด้วยหูทั้งสองข้าง อาจเป็นภาพสวยงามแต่มิอาจสัมผัสได้ถึงอารมณ์รู้สึก อาจเป็นท่วงทำนองของบทเพลงไพเราะกลับเข้าไม่ถึงจิตใจ…
“ลองหลับตาสิ”ถอดความรู้สึกทั้งมวลออกจากจิตสำนึก แล้วลืมตาอีกครั้ง บางอย่างอาจเลือนหายไปและบางสิ่งเข้ามาทดแทน สีเขียวของใบไม้และร่มเงา และสายน้ำเย็นฉ่ำชื่นใจ…
ในวันที่ทุกอย่างต้องมีกฏระเบียบเพื่อกันการแพร่เชื้อของไวรัสร้าย เหล่าเด็กน้อยต่างสนุกสนานกับการเล่นน้ำบริเวณโขดหิน ส่วนพ่อ แม่ ผู้ปกครองทำได้แค่เพียงคอยยืนระแวดระวัง เด็กหญิงเร่งถอดรองเท้าทันทีที่เพื่อน ๆ วัยรุ่นราวคราวเดียว หะแรกเธอลงเล่นน้ำเล่นได้สักพักจนเจ้าหน้าที่อุทยานต้องส่งสัญญาณให้ไปเล่นในพื้นที่อนุญาต ผมจำต้องถอดรองเท้าแล้วคอยมองดูเธอวักน้ำเล่นกับเพื่อน ๆ ธรรมชาติของเด็กนั้นมีความบริสุทธิ์ ไม่มีกำแพงสถานะ ความคิด กรอบความรู้อันเป็นปัจเจก พวกเขาทำความรู้จัก เล่นสนุกสนานด้วยกัน
อยากย้อนกลับไปในช่วงวัยของเด็กน้อย ที่ไม่มีภาพจำของความโกรธ เกลียดหรือทำร้ายกันด้วยความรู้สึก ไม่ต้องวนเวียนอยู่กับสมองส่วนความทรงจำที่ยังเผยภาพวันวาร ตรงนั้นเคยนั่งเล่น ตรงนี้เคยถ่ายรูปร่วมกัน ทั้ง ๆ ที่ ความเป็นจริงสิ่งเหล่านั้นล่วงผ่านไปนานแล้ว ผ่านไปเหมือนใบไม้ร่วงหล่น ลอยล่องไปกับสายน้ำไม่หวนกลับ ชีวิตควรปลดวางความรู้สึกถูก-ผิด และสิ่งที่ควรจะลบเลือน ทว่าความทรงจำแง่งามก็ทำให้เรามีพลังขับเคลื่อนในการดำเนินชีวิต
เฉกเช่นเดียวกับการได้เห็นเด็กหญิงเล่นสนุกสนานอยู่กับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน อาจเป็นบันทึกความทรงจำดี ๆ ในวัยวันที่ไม่แปดเปื้อนด้วยสีแห่งอัตตา…