บันทึกคนหลงทาง : อัยย์ รินทร์

“ในการเดินทางอันยาวนานของชีวิต มีบางเวลาที่ดวงอาทิตย์สาดแสงอบอุ่น เจิดจ้าในวันแห่งฤดูใบไม้ผลิ และยังมีบางเวลาประดุจดังค่ำคืนในฤดูหนาวเหน็บ อาจกล่าวได้ว่าช่วงเวลาอันยากลำบาก คือคำคืนแห่งฤดูหนาวของชีวิต”ไดซากุ อิเคดะ 

ผมขึ้นต้นด้วยความเรียงจากหนังสือเก่าเล่มหนึ่ง กาลเวลาไม่เคยกลบคุณค่าของตัวหนังสือลงไปได้เลย และความหมายที่แฝงไว้กับหลักความคิดย่อมเป็นสิ่งที่ยืนยันได้อย่างดี ไม่ว่าโลกจะเข้าสู่ยุคสมัยใดก็วุ่นวายเหมือน ๆ กัน แต่โลกที่เคยซับซ้อนในอดีต หากเปรียบเทียบกับปัจจุบันนั้นต่างตรงที่ ข้อมูลข่าวสารเผยแพร่ได้อย่างรวดเร็ว …กระนั้นก็เถอะเรากลับทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ายอมก้มหน้ายอมรับชะตากรรม

ใครจะคาดคิดห้วงเวลาตามท้องถิ่น ๐๑.๒๕ น. ของวันเสาร์ที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๙ เกิดเหตุแผ่นดินไหวที่เมืองคุมาโมโตะ ภูมิภาคคิวชู ประเทศญี่ปุ่น ในขนาด ๗.๓ แมกนิจูด ที่ระดับความลึก ๑๐ กิโลเมตรใต้พื้นดิน 

เช้าวันถัดมาสำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงกีโต ประเทศเอกวาดอร์ เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน. ว่ามีเหตุแผ่นดินไหว ๒ ครั้งซ้อนในระยะเวลาห่างกันราว ๑๑ นาที ครั้งแรกมีความรุนแรงแมกนิจูด ๔.๘ ตามมาตราริกเตอร์ ตามด้วยแมกนิจูด ๗.๘ ตามมาตราริกเตอร์ นอกชายฝั่งเอกวาดอร์ เมื่อเวลา ๑๘.๕๘ น. วันเสาร์ ตามเวลาท้องถิ่น (๐๖.๕๘ น.วันอาทิตย์ ตามเวลาประเทศไทย)

ยังผลให้เกิดความเสียหายทั้งทรัพย์สินและผู้สูญเสียชีวิต บาดเจ็บ ธรรมชาติกำลังจะบอกอะไรบางอย่างแก่เรา ซึ่งผมขอเหมาเอาว่า…ทุกสิ่งอยู่ภายใต้เงื่อนไขของความไม่แน่นอน ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งแก่ทั้งสองประเทศที่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติ ขอให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากไปได้ และมีกำลังใจที่เข้มแข็งสู้ต่อไป

กลับมาที่บ้านเราเดินผ่านทางไหนก็ได้ยินเสียงคนบ่นร้อนสงกรานต์ประเพณีกำลังจะผ่านพ้น แต่ทุกๆ ปีดีกรีความร้อนเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น ในขณะที่ข่าวรายงาน มีกลุ่มขบวนการณ์ตัดไม้ทำลายป่า ทำให้นึกถึงพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาวันที ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๐ 

“อีกอย่างที่ข้าพเจ้าอยากจะขอร้อง พวกท่าน เพราะข้าพเจ้าเป็นราชินีตั้งแต่อายุ ๑๗ กว่าๆก่อน ๑๘ ไม่กี่เดือน จนถึงตอนนี้ ๗๕ ยังขอร้องอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง ไม่มีผลอะไร…เลย”

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอ่อนพระทัย รับสั่งให้ข้าพเจ้าฟังว่า เดี๋ยวนี้ฉันก็พยายามที่สุดไม่ให้คนมาทำลายป่าชายเลน…”

ดูเหมือนเรื่องราวที่ผมนำมาเขียนนั้นจะไม่มีความเกี่ยวเนื่องกันโดยตรง หากมองเห็นถึงบางสิ่งของความเป็นจริงก็คือเมืองไทยบ้านเรานั้นมีทุกสิ่งทุกอย่างที่อุดมสมบูรณ์ ภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหวก็น้อยมาก ส่วนที่มีมากก็คงมาจากภัยของคน คนบางที่นึกถึงแต่ผลประโยชน์ตัวเอง 

แผ่นดินไหวเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ชีวิตผู้คนไม่ว่าจะคิดสร้างสรรค์สิ่งใดขึ้นมาก็แค่เป็นการป้องปรามและจำต้องยอมรับความจริง แต่ละวันมีรายงานอุบัติ ผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ รถยนต์ รถมอเตอร์ไซด์ ถูกจับปรับ ยึดครอง ดูเหมือนว่าภัยธรรมชาติสำหรับคนไทยนั้นน้อยมาก แต่ถ้าเป็นภัยจากกิเลส ขาดสติ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน(บางคน)มากกว่าส่วนรวม เราจึงรู้สึกหดหู่กับดรรชนีตัวเลขผู้ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตและบาดเจ็บไม่น้อยลงเลย ในขณะที่ป่าไม้กลับถูกรุกรานจนโล่งเตียน.