บันทึกคนหลงทาง : อัยย์ รินทร์
ใบมะม่วงกระจัดกระจายอยู่บนพื้น บางใบปลิดปลิว และลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ก่อนร่วงหล่นลงมาซ้อนทับกับใบเก่า แดดอ่อน ๆ ตอนเช้าในขณะที่ข้าพเจ้านั่งจิบกาแฟ ฟังหมู่นกกาสนทนา บางขณะหลับตาปล่อยจิตใจสัมผัสสุนทรียแห่งการเริ่มต้นในเช้าวันใหม่ มันเป็นวันธรรมดาสำหรับคนอื่น ๆ ที่คุ้นเคยกับการตื่นแต่เช้ามืด คนเหล่านั้นลุกลี้ลุกลนบนหนทางที่เนืองแน่นไปด้วยยวดยาน
ในขณะที่ข้าพเจ้ายังทิ้งร่างหลับอุตุอยู่บนเตียง ทว่าวันนี้ช่างเป็นวันพิเศษ เป็นชัยชนะอันเกิดจากการปลุกตัวเองให้ลุกขึ้นมา เพ่งพินิจถึงความเปลี่ยนไปในชีวิตแต่ละวัน แต่ละห้วงลมหายทิ้งขว้างอย่างไร้ค่า วูบหนึ่งข้าพเจ้านึกถึงเรื่องราวของพราหมณ์หนุ่มสองคน ในค่ำคืนหนึ่งหลังผ่านชั่วโมงฝึกจิต พราหมณ์หนุ่มผู้มีรูปโฉมงดงามได้พูดกับพราหมณ์เพื่อนรัก ถึงการออกเดินทางไปหาสมณะ เพื่อแสวงหาปลายทางแห่งชีวิต ที่-ที่มีเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตงอกงาม ที่-ที่มีแสงสว่างแห่งความสุข ปีติ กลับหาไม่ได้เลยในบ้าน เรือนคฤหาสน์อันระโหฐาน
ในศาสนสถาน แหล่งชุมนุมนักปราชญ์สรรพวิทยา หรือแม้แต่บทโศลกที่ลึกล้ำ ก็ยังเข้าไม่ถึงสัจจะแห่งความรู้แจ้ง การสวดมนต์อ้อนวอนต่อเทพเจ้า เพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ได้แท้จริงกระนั้นหรือ? แม้แต่การบูชายันต์หรือชำระล้างด้วยน้ำศักดิ์สิทธิ์จะช่วยล้างบาปตามความเชื่อที่สืบทอดกันมาได้กระนั้นหรือ? คำถามมากมายที่วนเวียนอยู่ภายในจิตสำนึก เพราะทุก ๆ ชีวิต ต่างดิ้นรนเสาะแสวงหาทำความเข้าใจ ทุกข์เกิดจากอะไร ? สุขคืออะไร? แล้วทำไมการมีอยู่ถึงต้องวนเวียนอยู่กับสองสิ่งนี้
ย่ำรุ่งของเช้าวันใหม่หลังพราหมณ์หนุ่มรูปงามต้องพิสูจน์ถึงความตั้งใจจริงกับพราหมณ์ผู้เป็นบิดา และผลจากความตั้งใจ ทำให้เขาทั้งสองได้ออกเดินทาง ได้เรียนรู้ ปฏิบัติ กับสมณะ นักพรตผู้ถ่ายทอดทุกองค์ความรู้ ทว่าแม้ร่างกายจะเปลี่ยนไปอยู่ในรูปแบบใด สัตว์ ซากศพ สายน้ำ ต้นไม้และก้อนหิน ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาในยามตะวันส่องแสงหรือจันทราสาดส่อง พราหมณ์หนุ่มรูปงามผู้นั้นกลับมามีตัวตน วนเวียนอยู่ในวงจรชีวิต อันเกิดจากอารมณ์ ความรู้สึก
ข้าพเจ้านั่งมองใบมะม่วงกองกลาดเกลื่อน พลางคิดไปว่าบางทีการร่วงหล่นของมันอาจเป็นอิสระครั้งสุดท้ายก่อนแห้งเหี่ยวแล้วย่อยสลายเป็นปุ๋ย ธรรมชาติกำลังจะบอกถึงฤดูกาลแห่งการผลัดเปลี่ยน เพื่อแตกใบกิ่งก้านสาขาใหม่ ออกดอก ให้ผลผลิต
“การบำเพ็ญสมาธิคืออะไร อะไรเล่าคือตัวตน อะไรคือการถือศีลอด และเรากลั้นลมหายใจเพื่ออะไร ก็แค่หนีอัตตา หนีความทุกข์ไปชั่วแล่น ระงับความเจ็บปวดและไร้สาระของชีวิต” เขาพูดกับพราหมณ์ผู้ร่วมเดินทางด้วยกัน
แสงสะท้อนผิวน้ำในอ่างบัวส่องแสงวาววับราวประกายเพชร ในขณะที่ฝูงปลาสร้อยแหวกว่ายอยู่ใต้ร่มใบบัว ข้าพเจ้าแหงนมองต้นมะม่วงที่สูงใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่วันหย่อนเมล็ดพันธุ์เจริญงอกงามจน ให้ร่มเงาและออกผล สัมผัสแรกในยามหลับตามองผ่านความมืดเห็นภาพสองพราหมณ์หนุ่ม นั่งอยู่ท่ามกลางพระภิกษุสงฆ์ ในขณะที่พระสมณโคดมทรงแสดงธรรม “ใต้ต้นมะม่วง”
พราหมณ์หนุ่มเพื่อนร่วมทางเกิดศรัทธาอย่างแรงกล้าลุกขึ้นปวราณาตัวขอบรรพชา ส่วนพราหมณ์รูปงามยังคงนั่งนิ่งจมดิ่งอยู่กับความคิด ตั้งคำถาม กับคำสอน เกิด ดับของพระพุทธองค์ เขายังเคลือบแคลงกับความเป็นหนึ่งเดียวและการต่อเนื่องของสรรพสิ่งนั้นจะหักสะบั้นลง ณ จุดหนึ่ง และช่องว่างนี้เองที่บางสิ่งบางอย่าง วนเวียนอยู่ในความเป็นหนึ่งเดียวโดยมิอาจแสดงหรือพิสูจน์ คือการยกตัวเองให้พ้นโลก พ้นทุกข์ให้ถึงความหลุดพ้น ช่องว่างนี่แหละที่จะเป็นนิรันดร์และความเป็นหนึ่งเดียวสลายลง
พระพุทธองค์ทรงสดับรับฟัง แล้วตรัสตอบ
“เธอฟังธรรมได้ดี บุตรพราหมณ์ เรายกย่องที่เธอใคร่ครวญพระธรรมได้ล้ำลึก เธอพบข้อบกพร่องก็ขอให้คิดทบทวนต่อไปเถิด แต่ขอให้ตถาคตได้เตือนสติเธอบ้าง เธอเป็นคนกระหายความรู้ เป็นคนเจ้าความคิด มีคำพูดขัดแย้งกันมาก ความคิดเห็นไม่มีความหมายอะไรเลย มันอาจสวยงามหรือน่าเกลียด อาจฉลาดหรือโง่เขลา แต่พระธรรมมิใช่ความเห็นของตถาคต เป้าหมายมิใด้มุ่งอธิบาย ให้ผู้กระหายความรู้ฟัง จุดหมายของพุทธธรรมคือการหลุดพ้นจากความทุกข์ นั่นคือสิ่งที่ตถาคตสอนมิใช่อย่างอื่น”
ฝูงนกยังส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจในร่มเงากิ่งมะม่วง ลำแสงสว่างทอดผ่านเข้าม ข้าพเจ้าลืมตาแล้วหยิบไม้กวาด กวาดใบมะม่วงที่กลาดเกลื่อนอยู่บนพื้นมากองรวมกันแล้วตักใส่ถุงขยะ.
แรงบันดาลใจจากการอ่าน สิทธารถะ โดย เฮอร์ มานน์ เฮสเส
สดใส แปล จัดพิมพ์โดย เคล็ดไทย ปี ๒๕๖๑