เก้าอี้โยกริมระเบียงฟังเสียงน้ำ
งามสงบพลบค่ำระร่ำไหล
เหงาดั่งว่าน้ำหยดจนหมดใจ
เหลือสิ่งใดไว้บ้างระหว่างชีวิต
ระหว่างรอแสงจันทร์เขาฝันถึง
ความละมุนคุ้นซึ้งอันตรึงจิต
ที่ถักทอต่อเห็นเป็นภาพพิศ
ทีละนิดละน้อย ค่อยแจ่มชัด
เห็นเด็กชายคนหนึ่งซึ่งขลาดเขลา
โลกกว้างใหญ่วัยยาว์เขาข้องขัด
เรือนริมน้ำหลังหนึ่งถึงอัตขัต
กลับร้อยรัดเขาไว้ไม่รู้เลือน
แต่โลกพลันผันเปลี่ยนคล้ายเขียนทราย
ก่อนน้ำกลบลบหายไม่แม้นเหมือน
ดั่งการร่วงดวงดาวและร้าวเดือน
ดั่งการเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างว้าว้าง
มีความฝันสิ่งใดที่ไปถึง
ล้วนตักหกตกตึงล้วนแตกต่าง
แต่ชีวิตนิดน้อยกลับปล่อยวาง
วัยพิสุทธิ์สว่างช่างสั้นนัก
เพลงขับขานหวานเศร้าที่เฝ้าฟัง
ดาวเปล่งปลั่ง แสนคุ้มยามหนุนตัก
ผู้หญิงที่เขาไม่เคยเอ่ยว่ารัก
ผู้หญิงของงานหนักและดักดาน
โลกของเธอไม่ไกลจากไร่นา
คือผู้หญิงธรรมดาบ่าไหล่ด้าน
ผู้พลีเลือดพลีเนื้อผู้เจือจาน
เป็นข้าวปลาเป็นบ้านเป็นธารชีวิต
เขาเฝ้าฟังเสียงร้องของกาเหว่า
ริมฝั่งธารสีเทาเศร้าจับจิต
ดั่งฝันว่าหลงทางแลคว้างทิศ
ติดอยู่ในมืดหมองห้องแคบคับ
เห็นเด็กชายก้าวออกไปนอกทรวง
ด้วยท่าท่วงทำนองของปีกขยับ
เป็นนกพรากจากใจจากไกลลับ
พร้อมมืดดับแสงตะวันในบันดล
ไม่มีแล้วเด็กชายช่างใฝ่ฝัน
ผู้หนีตามแสงจันทร์ไปไร้หน
ทิ้งอดีตทอดยาวร้าวทุรน
รสสุคนธ์หล่นร่วงเป็นดวงน้ำตา
เก้าอี้โยกเงียบยะเยียบย่ำ
คืนสีดำร่ำเห่ไกวเปลผ้า
ขานกล่อมอยู่คู่กายเด็กชายชรา
มือไขว่คว้าหาดวงจันทร์อยู่นั่นแล้ว
—รวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์-
จากหนังสือ: แม่น้ำรำลึก
โดย : เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์
สำนักพิมพ์ : ผจญภัย