เรื่อง : อัยย์ รินทร์

หากไม่มุ่งแต่จะให้ถึงจุดหมาย ปล่อยหัวใจให้ว่าง มองสองฟากฝั่ง เรื่องเล่าระหว่างทาง เติมเต็มปลายทางที่สมบูรณ์  แดดอ่อนๆตอนสายในวันที่ไม่เร่งรีบ บางครั้งการหยุดนั่งพัก มองดูสิ่งรายล้อมรอบกาย กลับทำให้ได้เห็นบางสิ่งบางอย่าง ที่ห่างหายไปจากความคุ้นเคย ต้นตาลยืนต้นโดดเด่นกลางท้องทุ่ง สายลมพัดโชยกลิ่นโคลนตม พาลห้วงคำนึงถึงบทกวี


การที่เราจะก้าวไปข้างสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตได้นั้น
เราจะต้องตายจากบางสิ่ง บางอย่างเสียก่อน
คือการตาย เพื่อตื่นขึ้นในการเกิดใหม่
เช่นการตายจากชุดความรู้ที่บกพร่อง
ตายจากชุดความคิดที่ผิดพลาด
และตายจากพฤติกรรม อันก่อทุกขสัจจะ ทั้งหลายที่เป็นพันธนาการ
และปิดกั้นการก้าวไปสู่ อิสระภาพที่แท้จริ

(ศิวกานท์ ปทุมสูติ)
   
ฝูงนกกระยางขาว จด ๆ จ้อง ๆ เหยื่ออันโอชะ ที่เร้นซ่อนกายอยู่ใต้โคลนตม พินิจถึงความจริง ไม่ว่ามนุษย์ สัตว์ก็แค่สิ่งมีชีวิตกระจิ๊ดริด ต่างเป็นห่วงโซ่ของกันและกัน สัตว์ใหญ่กินสัตว์น้อย เพื่อความอยู่รอด นกกระยางบางตัว แม้จะอิ่มเอมแต่มันก็โบยบินวนเวียน ไม่ทิ้งฝูงเพื่อน สัตว์กินแค่พออิ่ม สัตว์ไม่ทอดทิ้งเพื่อนร่วมทาง ถ้าหากไม่จำเป็น

ในวิถีแห่งความเป็นมนุษย์ ที่มีพลังสร้างสรรค์ พลังศรัทธาสร้างสิ่งมหัศจรรย์ได้มากมาย นั่นอาจจะเป็นปฐมบทของความเปลี่ยนแปลง ยิ่งในยุคสมัยที่เชื่อมโยง ด้วยปลายนิ้วสัมผัส เราเดินทางจากภายใน ข้ามทะเลแห่งความคิด คำนึง ไปถึงอีกฟากฝั่งแค่ปลายนิ้วสัมผัส ทว่าบางครั้งเรากลับลืมมองคนรอบกาย สุดท้ายก็โดดเดี่ยว เปลี่ยวเหงา คือเรื่องธรรมดา กระนั้นก็เถอะไม่ว่าความรู้สึกเหล่านี้จะมีพลานุภาพ มากมายแค่ไหน สติ ปัญญาย่อมนำพาให้เราผ่านพ้นห้วงอารมณ์ เหล่านั้นไปได้
 
เมื่อปรับใจให้สัมผัสแห่งความอารมณ์รู้สึกสงบ เพ่งพนิจสิ่งรายล้อมรอบกาย สายลม ท้องฟ้า ใบหญ้า ทุ่งนา นกกระยาง ต้นตาลก็ขับขาน เฉกเช่นเดียวกับบทเพลงล้อ ที่ร้องกล่อมทุ่งนา และกล่อมใจคนฟัง ทุ่งนาแดนนี้มากมีความหมาย หอมดินกลิ่นโคลนสาบควาย คิดถึงคันไถควายเฒ่า ที่นาไม่น้อย ไร่อ้อยโอบแขนแทนรวงข้าว ทิ้งเคียวให้กร่อนคมเฉา เพราะเงามีดเงินสะท้อน ในบางคราการนำพาตนเองไปสู่วิถีชีวิตที่เรียบง่าย ปลดพันธนาการ ที่รัดตรึง…ก็ทำให้เราได้สัมผัสถึงความเบาสบาย.