บันทึกคนหลงทาง : อัยย์ รินทร์

เมฆสีเทาหม่นก่อตัวไปทั่วท้องฟ้าเบื้องหน้า หลักกิโลเมตรบอกระยะห่างจากเส้นทางไทรโยคน้อย อีก ๔๐ กิโลเมตรถึงตัวเมืองกาญจน์ฯ หากนับเนื่องไปอีก ๑๐๐ กว่ากิโลเมตรจึงจะถึงกรุงเทพฯ เลื่อนสายตามองดูหน้าปัดน้ำมันยังเหลืออีกครึ่งถังวิ่งกลับถึงบ้านสบาย สองฟากถนน ทิวเขาสลับซับซ้อน สีเขียวขจีของผืนป่าดูเย็นตาไปกับฤดูกาลแห่งความชุ่มช่ำ 

…แว่วเสียงคล้ายใครดีดเส้นลวดเป็นจังหวะ บางทีผมอาจหูแว่ว หากแต่รู้สึกคุ้น ๆ กับท่วงทำนอง 

“ ขวัญเอยขวัญมาขวัญเอยขวัญมาขวัญพระแม่โพสพจงกลับมา…” เสียงแหลม ๆ ของชายสูงวัยที่นั่งเคียงข้างลูกชายวัยหนุ่ม ขับร้องบทเพลงเพลงเรียก ขวัญแม่โพสพ ไปตามจังหวะปลายนิ้วที่ดีดลงไปบนเส้นลวด ภาพซ้อนทับถึงเหตุการณ์ตอนเช้าวันหนึ่ง หมู่บ้านเวียคะดี้ ควันไฟลอยฟุ้งบริเวณพื้นที่ครัวสนาม ลูกฝักกลม ๆ ขนาดโตวางใกล้ธารน้ำรอ ไก่บ้านที่กำลังถอนขน เสียงหัวเราะของเหล่าบ้านหญิงสาวระคนเสียงสากกะแทกลงในครก ต่างร่วมด้วยช่วยกันทำอาหาร บรรดาชายหนุ่มกะเหรี่ยงผู้ช่ำชองการใช้มีดเพียงด้ามเดียวตัดไม้ไผ่ สร้างชิงช้าให้เด็กเล่น เพิงที่สำหรับพระสวดพิธี และเสาภิบือโหย่ (ขวัญแม่โพสพ)” เป็นภาพที่รับรู้ได้ถึงมิติความสัมพันธ์ของคนในหมู่บ้านชายขอบ ดูเหมือนโลกที่ไกลห่างความเจริญรุ่งเรือง โลกภายนอกที่วุ่นวายอาจมีส่วนทำให้พวกเขามีความสามัคคี และให้ความเคารพผู้มาก่อน…

img 9878
คุณลุงทนงและลูกชายกำลังร้องเพลง “เรียกขวัญแม่โพสพ”

อีก ๒๖ กิโลเมตรจะถึงตัวเมืองกาญจน์ มองผ่านกระจกส่องหลังเด็กหญิงนอนล้มตัวนอนราบไปกับเบาะรถ ผมครุ่นคิดถึงในสาเหตุทำให้ได้เจอกับสองพ่อลูก เราต้องการมีอะไรที่แตกต่างในการเสนอเรื่องราวของพวกเขา “เพลง เครื่องดนตรีใช่เป็นแนวคิดที่น่าจะตอบโจทย์นี้ได้ ผมจึงได้สอบถามกับผู้ประสานงาน ไม่นานนัก เด็กหนุ่มขี่มอเตอร์ไซด์พร้อมกับเครื่องดนตรีมายังบริเวณงาน เสียงอึกทึกของผู้คน ซึ่งไม่เหมาะที่เราจะบันทึกเสียง เราจึงตกลงไปถ่ายกันที่บ้านของเขา

ระเบียงบันไดบ้าน ภาพงดงามของสองพ่อลูกที่ร้องบทเพลง เนื้อหาถึงการเรียก ขวัญแม่โพสพความเชื่อและการรู้คุณต่อธรรมชาติ ปลายนิ้วของเด็กหนุ่มที่ดีดลงบนเส้นลวด เสียงแปร่ง ๆ ทุ้ม ๆ อีกด้านหนึ่งเขาชอบการแต่งเพลงและเล่นกีตาร์ ส่วนอีกด้านก็อยากเรียนรู้เครื่องดนตรีอันบ่งบอกถึงความเป็นมาของบรรพบุรุษ เพื่อสืบสานปณิธานของผู้เป็นบิดา

img 9872 1
ช่อ”ภิบือโหย่( แม่โพสพ)”


ขวัญเอยขวัญมา ขวัญเอยขวัญมา ขวัญพระแม่โพสพจงกลับมากลับมารับข้าวจ้าวข้าวเหนียว โอ๋ขวัญพระแม่โพสพกลับมาขวัญเอยขวัญมา

แม้ยามหลับตาผมยังเห็นถึงดวงตาที่แฝงไว้ด้วยความพยายามต่อสู้และอดทนเพื่อจะร้องเพลงนี้ให้ได้ดีที่สุด ชายชราผู้รับมรดกมาจากบรรพบุรุษกำลังถ่ายทอดสิ่งดี ๆ ให้กับลูกชายรับช่วงต่อ เป็นภาพงดงามที่ได้เห็น และรู้สึกภูมิใจที่ได้บันทึกบทเพลงนี้เอาไว้ …

วันเวลาผ่านไปไม่หวนคืน เรื่องบางเรื่องที่มีโอกาสได้เก็บเกี่ยวความทรงจำย่อมมีคุณค่าต่อจิตใจ ในวันที่เราไม่มีโอกาสได้ล่ำลาหากแต่เพียงว่า ท่วงทำนองบทเพลงนั้นคือมรดกชิ้นสุดท้ายที่ชายชรา ผู้เกิดและเติบโตในพื้นที่ชายขอบเขตแดนได้มอบไว้ให้เป็นอนุสรณ์…
ไม่มีใครรู้วันสุดท้ายที่จะมาถึง ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามที่นำพาให้เราได้เจอกัน ย่อมมิใช่เรื่องบังเอิญหากคือสายใยในวันวารที่นำพาให้เราได้มาเจอและได้ทำสิ่งหนึ่งร่วมกัน …ธรรมดาทุก ๆ การพบเจอย่อมมีพรากจากเสมอ…

เด็กหญิงลุกพรวดมานั่งเบาะข้าง ๆ เธอหันมาสบตาทำหน้าทะเล้น ตะเบ็งเสียงร้องเพลง
หากว่าเรากำลังสบายจงตบมือพลันหากว่าเรากำลังมีสุขหมดเรื่องทุกข์ใดๆทุกสิ่งจะมัวประวิงอะไรกันเล่าจงตบมือพลัน…”

รถแล่นลิ่วผ่านทางแยกตัวเมืองกาญจน์ มุ่งหน้าตามป้ายบอกทางนครปฐม เหลือระยะทางอีกไม่ไกล แต่ในรถลูกร้องเพลงโดยพ่อคอยเคาะให้จังหวะ…ช่างคล้ายกันเหลือเกินกับสองพ่อลูกคู่นั้น…ช่างคล้ายกัน

ขอบคุณชายชราที่ชื่อ ทนงสังขโสภาแม้ท่านจากไปไม่หวนคืนกลับ ทว่าสิ่งที่รับมาจากบรรพบุรุษได้ส่งต่อให้กับลูกชาย…ในวันที่ขวัญจากไป

ขอบพระคุณ : คุณลุงซองติ้งไทรสังขฮิติสุรีย์เจ้าของที่นาพิธีกะเหรี่ยงฟาดข้าวขอบพระคุณ : ท่านกำนันพุทธชายหลวงวิเศษณ์ที่เอื้อเฟื้อสถานที่พักพิงและช่วยประสานงาน

ขอบคุณ: ชาวบ้านเวียคะดี้หนองลูสังขละบุรี

ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวสังขโสภาต่อการจากไปของคุณทนงสังขโสภา

ขอบคุณ :ทีมงาน เรือนพิมพ์แม่ชอบ

ขอบพระคุณ :อาจารย์ฟ้อนเปรมพันธุ์สำนักวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรีที่เอื้อเฟื้อคำแปลบทเพลงขวัญข้าว