บันทึกคนหลงทาง : อัยย์ รินทร์
เพราะถูกน้ำกัดเซาะจนดินยุบตัว สายลมทุกห้วงฤดูกร่อนเทาะ เซาะดินจนมีหลากหลายรูปร่าง ธรรมชาติสร้างสรรค์ โดยมิได้ปรุงแต่ง พื้นที่กว้างใหญ่ ถึง ๒,๐๐๐ ไร่แห่งนี้ สิ่งที่มองเห็นโดยรอบขณะเดินอยู่บนแผ่นดินแห้งผาด ยุบ พังทะลายแบ่งเป็นห้องๆ ห้อมล้อมแอ่งน้ำ ทุ่งหญ้าและฝูงนก หากมาเพียงลำพังคงรู้สึกเหงา อ้างว้าง หดหู่ ก็อย่างว่า โลกแห่งความเหงาของคนเราไม่เท่ากัน ทุกๆ ระยะห่างบอกได้ว่าความรักและคิดถึงมีค่ามากปานใด กระนั้นก็ตามการฝึกฝนจิตใจคุ้นชินกับการพรากจาก ในวันที่หน้าที่ทำให้จำห่างไกล และการเรียนรู้อยู่กับความโดดเดี่ยว ย่อมเป็นสิ่งดีทั้งสองฝ่าย
แดดอ่อนๆ ของบ่ายวันหนึ่งปลายเดือนมีนาคม เค้าลางของเมฆฝนแผ่ปกคลุมผืนฟ้า จนพระอาทิตย์ไม่อาจแผดแสงกล้าส่องลงมา รูปร่างหลากของ “ละลุ”สร้างความเพลิดเพลินจนไม่อาจจะยั้งใจให้หยุดลั่นชัตเตอร์ มิใช่แค่เพียงภาพที่บันทึกไว้ในกล้อง หากยังตราตรึงภายในจิตสำนึก ฝูงนกเกาะกิ่งไม้ จด ๆ จ้อง ๆ รอจังหวะโฉบเจ้าปลาตัวน้อยในแอ่งน้ำ อีกมุมไม่ไกลมากนักภาพของพ่อที่กำลังสอนวิถีหากินและอดทนกับเขี้ยวของเจ้ามดแดงที่หวงไข่ในรัง
“โลกเหงาๆ ของคนเราไม่เท่ากัน แต่เราสามารถเติมเต็มได้ทุกวินาที ทุกวี่วัน” ในยุคสมัยที่เราสามารถสื่อสารกันอย่างง่ายดาย อยู่ตรอก ซอกซอยหรือที่ๆ ห่างไกลก็สามารถส่งผ่านความคิดถึงด้วยข้อความ ภาพถ่ายหรือพูดคุยผ่านแอฟพลิเคชั่นโซเชี่ยล ห่างกันก็แค่เพียงแค่ระยะทาง เมื่อเราเดินทางจากจุดหนึ่งไปสู่จุดหนึ่ง ก็จะได้เห็นความแตกต่างไม่ว่าจะเป็นประเพณี วัฒนธรรม วิถีชีวิตก็เพื่อเรียนรู้เขาและทำความเข้าใจตัวเอง
เดินลัดเลาะบนสันดิน ในใจก็หมายจะเด็ดดอกหญ้ามาใส่เฟรม แหม…มันช่างงดงามเหลือเกินสำหรับผม อีกนิดนะ ถอยอีกนิดจะเห็นเก็บดวงอาทิตย์ ผืนฟ้า ดอกหญ้าและโตรกผา “ตุ๊บ!”เสียงเหมือนขนุนลูกใหญ่หล่นจากต้น กระแทกลงบนดินร่วนจนยุบเป็นหลุม หันมองซ้าย-แลขวาไม่มีใครเห็น นึกหัวเราะอยู่ในใจ ไม่ทันได้เด็ดดอกหญ้า อูย…เจ็บแต่จบ.