เสมือนคำทักทาย
เมื่อคิดจะรวมเล่ม คำถามแรกที่ผุดเข้ามาในหัว
“งานเราดีพอแล้วหรือ?”
อาจเพราะด้วยประสบการณ์ทางด้านการเขียนของผม หากให้กล่าว คงเรียกว่ายังอยู่ในช่วงเริ่มต้น เพิ่งเตาะไต่ไปตามแถวแนวบรรทัดของวรรณกรรมได้ไม่นาน ทว่าในทางกลับกัน หากย้อนมองประสบการณ์ทางด้านการอ่าน มันเริ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่ายี่สิบปี ทั้งบทกวี เรื่องสั้น นวนิยาย สารคดี บทความ ศาสนา ปรัชญา วรรณกรรมคลาสสิคของโลก และอีกเท่าที่พอจะหาอ่านได้ตามกำลังทรัพย์กำลังสมอง (แน่นอน ว่าต้องตามจริตรสนิยมของตัวเองด้วย) ผมเริ่มรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของบรรดากวี และนักเขียนเพิ่มมากขึ้นตามจำนวนหนังสือที่ผ่านเข้ามา ซึ่งทั้งหมด ผมถือว่าเป็นครู เป็นแบบเบ้าแนวทาง เป็นคบไฟอย่างดี ให้แก่วัยหนุ่มผู้หลงรักในเส้นทางสายนี้
ครั้นเมื่ออ่านมากเข้า ย่อมเกิดแรงกระเพื่อมบางชนิด คอยกระตุ้นเร้าความปรารถนาอยู่ลึก ๆ ผมรู้ หากไม่หาวิธีระบาย สักวันมันอาจมอดไหม้ หรือแตกสลายอยู่ภายใต้ตัวตน อย่างไร้ค่าไร้ราคา ในระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา (ตุลาคม 2562) หลังได้รับโอกาสให้เรื่องสั้น “เรือเที่ยวสุดท้าย” ซึ่งเป็นเรื่องสั้นเรื่องแรก ได้ผ่านการพิจารณาเผยแพร่ทางเพจ “ช่างเขียนพยัญชนะ” ผมจึงพอมั่นใจขึ้นบ้างว่า ผมเขียนหนังสือได้
ฉับพลัน พลังบางชนิดจึงเริ่มสำแดงตัว ปรารถนาภายในถูกปลดปล่อย เรื่องสั้นเรื่องแล้วเรื่องเล่าทะลักล้นออกมา ผ่านการครุ่นคิด ผ่านปลายนิ้ว ผ่านสู่หน้ากระดาษอิเลกโทรนิค มันท่องทยานไปอย่างอิสระเสรี สนุกสนาน ระทึกระทวย คึกคักบ้าบิ่น ดิ่งจมหล่มน้ำตา ทั้งอาลัยหวนไห้ถึงอดีตที่ผ่านล่วง ทั้งมุ่งมองไปข้างหน้า ฯลฯ หลากไหลคล้ายมวลน้ำมหาศาลซึ่งถูกเก็บกักไว้ภายในเขื่อนกั้นขนาดมหึมา ครั้นประตูเปิด สายน้ำจึงถั่งโถมมิสุดสิ้น หลั่งชโลมผืนดินที่แห้งผาก เมล็ดพันธุ์ซึ่งถูกกลบฝังมาเนิ่นนานนับทศวรรษ เริ่มผลิช่อชูยอด นกเล็ก ๆ ในหัวใจส่งเสียงแจ้วจำนรรจ์ ผมใช้ห้วงยามเช่นนี้เอง ตักตวง และฉวยคว้ามันไว้ นึกถึงบางคำ ของบางคนเคยกล่าว
“งานชิ้นแรกของคนหนุ่มนั้นสดใหม่เสมอ”
ใช่! ผมเชื่อเช่นนั้น แต่ในอีกด้าน ผมก็พึงตระหนักด้วยว่า ในความสดใหม่ ย่อมมีร่องรอย มีตำหนิ มีข้อผิดพลาด มีอะไรต่ออะไรอีกมากมาย ซึ่งล้วนต้องอาศัยประสบการณ์เป็นเครื่องมือเคี่ยวกรำนำทางแทบทั้งสิ้น
เรื่องนี้สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวของมันเอง หลังผ่านสามปี เรื่องสั้นจำนวนหนึ่งเริ่มปรากฎขึ้นในหลายพื้นที่ ขณะเดียวกัน ยังมีเรื่องสั้นอีกหลายเรื่อง ถูกพับทิ้งลงตะกร้าอย่างไม่เคยได้ปรากฏต่อสายตาในพื้นที่ไหน ๆ แต่นั่นหาใช่ข้ออ้างให้ผมล้มเลิกความใฝ่ฝัน ทุก ๆ ยามเช้าในวันที่ว่างเว้นจากงานประจำ หลังหุงหาข้าวปลา และภรรยาออกจากบ้านไปทำงานแล้ว ราวตีห้าครึ่ง ผมจะนั่งลงที่โต๊ะตัวเดิม พร้อม ๆ กับกาแฟถ้วยเดิม แล้วโลกแห่งจินตนาการก็พร้อมออกเดินทาง ยามเช้านั้นสงบอย่างวิเศษ ในระหว่างนี้ หากติดขัดทางความคิด อาจวางมือจากการเขียน เพื่อให้เวลากับงานบ้าน แต่สำหรับบางวันที่ความคิดไหลเนื่อง ผมอาจเขียนลากยาวไปจนถึงเที่ยง (โดยมากช่วงบ่ายผมจะใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์ เล่นคลุกคลีอยู่กับบรรดาลูก ๆ ทั้งห้าตัว หรือจัดการต้นไม้ใบไม้ภายในสวน)
ต่อคำถามแรกที่ผุดเข้ามาในหัว คล้ายความกังวลของผมเริ่มคลี่คลาย นั่นอาจเพราะความเชื่อมั่นในสายตาของพี่บรรณาธิการ จากเรื่องสั้นทั้งหมดยี่สิบกว่าเรื่องที่ส่งให้พิจารณา มันค่อย ๆ ถูกคัดสรรค์ผ่านมุมมองอันละเอียดถี่ถ้วน ทั้งการขัดเกลาภาษา ขัดเกลาสิ่งขาดพร่อง ,ล้นเกิน การจัดลำดับก่อน ,หลัง การวางคอนเซ็ปต์ แม้กระทั่งการตั้งชื่อปก ซึ่งพยายามดึงเอาความเป็นตัวตนของผู้เขียน ผนวกกับท่วงทำนองของเรื่องเล่าออกมาได้อย่างงดงาม กระทั่งสุดท้ายเหลือเรื่องสั้นเพียงสิบสามเรื่องที่ปรารกฎอยู่ในเล่ม
ซึ่งทั้งหมด ผมต้องขอขอบคุณพี่ท่านเป็นอย่างสูง
“ทัศนียภาพที่เคลื่อนไหล”
คำว่าทัศนียภาพในที่นี้ หมายรวมถึง ทัศนียภาพทางโลกทัศน์ ชีวทัศน์ และมโนทัศน์ คือการพูดถึงมุมมองต่อสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รายรอบตัว ผ่านสายตาของปัจเจกคนหนึ่ง พูดถึงการพัดพาไปของนาฏกรรมอันเกิดจากผลพวงทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นเมืองหรือชนบท ใหม่หรือเก่า ก้าวหน้าหรือล้าหลัง ความไม่นิ่งแน่ของกระแสชีวิต พื้นที่จำต่อประสบการณ์ต่างกรรมต่างวาระ ความเป็นไปของผู้คนร่วมสมัย ซึ่งทุกองค์ประกอบที่กล่าวมา ล้วนหลอมปน และพากันขยับเขยื้อนเคลื่อนไหลไปไม่หยุดนิ่ง ด้วยเงื่อนไขใด ๆ สักอย่าง
ผมนึกถึงคำกล่าวของ กนกพงศ์สงสมพันธุ์ที่ว่า “นักเขียนคือนักสังเกตการณ์ทางสังคม”หากพินิจพิเคราะห์อย่างรอบด้าน คำกล่าวนี้ถูกต้องอย่างไม่มีข้อกังขา เรามองเห็นความเป็นไปในสังคมแวดล้อมอย่างไร เรารู้สึกนึกคิดเช่นใด เราอาจเป็นทั้งผู้กระทำ หรือถูกกระทำ เราอาจเป็นทั้งผู้กดข่ม และถูกกดข่ม ซึ่งภาวะทั้งหมดที่เข้ามากระทบ คล้ายว่าเราพึงใจจะฉวยคว้ามันไว้ นั่นก็เพื่อเป็นวัตถุดิบชั้นดีแห่งการงาน
บางครั้งในงาน ๆ หนึ่ง ของนักเขียน อาจคับแคบเพียงกรอบคิดที่จำกัด แต่จะปฏิเสธได้อย่างไร ว่ามันมิใช่การกู่ตะโกนของมนุษย์เล็ก ๆ คนหนึ่ง เพื่อส่งสารไปถึงขบวนประวัติศาสตร์ขนาดใหญ่ที่ชื่อว่ายุคสมัย
จริงอยู่ แม้ผมไม่สามารถเขียนถึงโลก และจักรวาลได้ ไม่สามารถเขียนถึงสิ่งนอกเหนือกระบวนทัศน์ได้ แต่ภายใต้ความนอกเหนืออันมหึมานั้น ยังมีรายละเอียดปลีกย่อย เป็นสิ่งค้ำประคองผ่องถ่าย เป็นกลไกให้สังคมได้ขับเคลื่อน ผมอาจเป็นได้เพียงผู้เฝ้าสังเกตการณ์ วิเคราะห์ วิพากษ์ และทำหน้าที่ถ่ายทอดมันออกมาด้วยการเขียน ตามวิถีทางของตน ด้วยน้ำเนื้อแห่งชีวิต มีถูกต้องดีงาม มีเลวทรามต่ำช้า มีห้วงอารมณ์หม่นเศร้า เจ้าเล่ห์เพทุบาย สวย สลด ลามกจกเปรต ดัดจริต ลักลั่น ย้อนแย้ง มีไม่น้อยที่แฝงกลิ่นอายความเปิ่นเชย ซึ่งทั้งหมด มันคือร่องรอย ตำหนิ และความไม่สมบูรณ์แบบ ของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์มิใช่หรือ
ทุกวันนี้ คล้ายเราขัดแย้งกันด้วยเรื่องราวอันหาสาระสำคัญใดไม่ ภาพของสังคมที่สังกัดเป็นเพียงภาพความหยาบกระด้างจากพื้นผิวภายนอก โดยละเลยต่อการเพ่งมองให้ลึกเข้าไปถึงด้านใน (ซึ่งยังมีอีกหลายด้านหลายมิติ)
ด้วยเจตนาอันจริงแท้ ผมหวังเพียงว่า ความหลากหลายระหว่างเรา และสังคมที่มุ่งเอาแต่รุดหน้า จะงดงาม และละเอียดประณีตขึ้นอีกสักเล็กน้อย…เท่านั้นเอง
สำหรับหนังสือรวมเรื่องสั้นเล่มนี้ ผมหวังใจเป็นอย่างยิ่ง ว่ามันจะเป็นตัวแทนของคนตัวเล็ก ๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นไปของชีวิตเล็ก ๆ ซึ่งอาศัยอยู่ร่วมกันในยุคสมัยอันยิ่งใหญ่ ตัวละครทุกตัว ทุกฉากการประพันธ์ ล้วนมีเลือด เนื้อ ชีวิต จิตวิญญาณ ทั้งของผม และผู้คนอื่น ๆ ปะปนอยู่บ้างไม่มากก็น้อย หากบังเอิญไปสบพ้องต้องใคร ผมกราบขออภัย มา ณ ที่นี้
ขอชวนเพื่อนมิตร ร่วมกันเฝ้ามองดูปรากฏการณ์ทางสังคม ผ่าน
“ทัศนียภาพที่เคลื่อนไหล”
ขอบคุณมากครับ.
ด้วยมิตรภาพ และความรัก
นรเศรษฐ์ ทับทิมทอง
บ้านร่มเย็น พฤศจิกายน 2565