เรื่องและภาพ :ชิด ชยากร
อ า ค า ร ไ ม้ โรงเรียนสถาพรพิทยา ท่านใดที่เป็นศิษย์เก่าสถาพรฯ และเรียนตั้งแต่ชั้นประถม ย่อมต้องเคยเรียนที่อาคารไม้หลังเก่าแน่นอน เป็นอาคารไม้หลังนั้นมีขนาดใหญ่ มีหลังคาทรงสูง มุงด้วยสังกะสี ตั้งอยู่ติดกับถนนศรีตะกั่วป่า เดิมเป็นที่ดินของคุณตา(หลวงสำรวจพฤกษาลัย) ช่องว่างระหว่างถนนกับอาคารไม้ มีสนามหญ้าและมีเสาธงอยู่ตรงกลาง บริเวณนี้จะเป็นที่เข้าแถวเคารพธงชาติทุกเช้าของพวกเรา ระหว่างสนามหญ้ากับถนนกั้นรั้วลวดหนามและมีพุ่มไม้เตี้ย ๆ เป็นกำแพง ด้านที่ติดกับทางเข้าโรงเรียนมีต้นมะขามเทศปลูกเรียงรายหลายต้น ด้านหน้าอาคารไม้เป็นที่โล่ง รถที่มารับ-ส่งนักเรียนจะมาจอดที่นี่ ด้านหลังจะติดกับบ้านที่มีคนอยู่อาศัย แต่มีรั้วลวดหนามกั้น ด้านนอกรั้วมิใช่เขตของโรงเรียน
อาคารไม้ของเราถูกยกพื้นสูงขึ้นไปเล็กน้อย สูงในระดับบันไดสามขั้น พื้นอาคารปูด้วยไม้กระดานทั้งหมด มีทางเดินเข้าไปในอาคารอยู่ตรงกลาง ทางเดินนี้จะแยกห้องเรียนออกเป็นสองฟาก แต่ละฝากมีห้องเรียนสี่ห้อง ใช้เป็นห้องเรียนของเด็กนักเรียนชั้น ป.1 ถึง ป.4 สมัยที่ผมเรียนชั้นประถม พ.ศ.2511-2514 นักเรียนชั้น ป.1-3 มีชั้นละสองห้อง คือห้อง ก และห้อง ข แต่พอถึง ป.4 ทั้งสองห้องจะมารวมเป็นห้องเดียวกัน
เรื่องเล่าจากอาคารไม้เท่าที่พอจำได้ ถ้าวันไหนฝนตกหนัก เรามักจะไม่ได้ยินเสียงครูสอน เพราะปริมาณน้ำฝนที่หล่นกระทบหลังคาสังกะสี เสียงดังมาก พวกเราที่เป็นเด็กไม่ค่อยได้นึกอะไรมากไปกว่าความสนุกสนาน นักเรียนชายวัยกำลังซน เล่นโน่นเล่นนี่กันตามประสา เช่น โดดข้าม ราเดอร์ เป่ากบ เล่นโบ่ย-อุด อ้าหวาย…55555 เห็นแต่ละชื่อแล้ว ถ้าท่านเป็นคนที่อื่นอาจจะไม่รู้จัก แต่ถ้าศิษย์เก่าสถาพรย่อมรู้จักดี ผมไม่ขออธิบายรายละเอียดนะครับ ไม่งั้นกว่าจะเขียนจบยาวเป็นเล่มแน่
ส่วนนักเรียนหญิงมักจะเล่นหมากเก็บ เล่นบินปีก(บินฉุด) แต่งตัวตุ๊กตา บางคนไปเก็บน้ำค้างตามยอดหญ้า บางคนก้มหน้าลงดินแถวใต้ถุนอาคาร เพื่อเป่าทรายให้ตัวนกคุ่มออกมาจากดิน สิ่งต่าง ๆ บางครั้งเด็กสมัยใหม่จะไม่รู้จัก แต่มันยังฝังใจในความรู้สึกของคนรุ่นเก่า ขอวกไปที่ด้านหลังอาคารสักนิด ที่ผมบอกว่านอกรั้วลวดหนามจะเป็นที่อยู่อาศัยของคนนอก โดยมีรั้วหนามกั้น ตรงบ้านนั้น-ช่วงหลังเที่ยงจะมีเสียง “เยาะเครื่อง” เสียงดังป๊อก ๆ มารบกวนโสตประสาทของพวกเราเสมอ มันไม่ได้มาแต่เสียงเท่านั้น แต่มีกลิ่นสมุนไพรที่ใช้ตำในครกโชยมา กลิ่นหอมเหล่านั้นพอผ่านไปสักชั่วครูก็กลายเป็นกลิ่นเครื่องแกง และอีกไม่กี่นาทีถัดมา เราจะได้ยินเสียงฉี่ ๆๆๆๆ ดังขึ้นมา นั่นเป็นเสียงของผลผลิตจากการเยาะเครื่อง เพราะเสียงที่เราได้ยินมาก่อนหน้านั้นคือ การเยาะเพื่อทำ “ลูกชิ้น” พอวัตถุดิบทั้งหมดถูกแปรรูป มันจะกลายเป็นลูกชิ้น และพอนำไปทอดในน้ำมันร้อน… เสี่ยงฉี่ๆๆๆ จะดังขึ้นมาอีก
หลังจากนั้นกลิ่นความหอมที่ร้ายกาจตามมาทันที กลิ่นเครื่องแกงผสมมะพร้าวและเนื้อปลาที่สุก ปลุกเร้าต่อมความหิวขึ้นมาในทันที เด็ก ๆ หลายคนที่เรียนชั้นม ป.4 ซึ่งอยู่ในห้องเรียนที่ติดรั้ว จะมองหน้ากันเลิ่กลัก แม้ความหิวอาจจะมีไม่มากนัก แต่”ความอยาก”มิเคยปราณีใคร ดังนั้นถ้าหมดชั่วโมงเรียน จะมีคนเดินออกจากห้อง ไปตะโกนขอซื้อลูกชิ้นทอดเจ้านั้นในทันที ความจริงโรงเรียนห้ามนักเรียนซื้อของอย่างเด็ดขาด แต่จะมีอะไรมาสกัดกั้นความต้องการได้เล่า บ้านหลังนั้นจึงมีรายได้จากการแอบขายลูกชิ้นให้เด็ก ๆ แทบทุกวัน อ้อย-เป็นญาติของผม เราเรียนอยู่ห้องเดียวกัน อ้อยเล่าให้ฟังว่ากลิ่นลูกชิ้นรัญจวนใจมาก มันทำให้เธออยากกินลูกชิ้น จนต้องตั้งปณิธานไว้ในใจว่า สักวันจะต้องเป็นแม่ค้าขายลูกชิ้นให้ได้ วันเปลี่ยนเวียนผัน จากวันนั้นมาถึงวันนี้ จากปี 2514 มาถึงปี 2563 อ้อยของผมกลายเป็นแม่ค้าขายลูกชิ้นสมดั่งฝันแล้ว ลูกชิ้นที่อ้อยทำขาย-ขายอยู่แถววงเวียนวัดลุ่มนะครับ ช่วยไปอุดหนุนกันได้
วกเข้าเรื่องอาคารไม้กันต่อมีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมเรียน ป.2 มีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้น เมื่อมี “มุดสัง” ตัวหนึ่ง ไต่อยู่บนโครงไม้ใต้หลังคา ตัวมันใหญ่และสีดำสนิท มันไต่ไปมา ดูแล้วน่ากลัวมาก ที่กลัวก็เพราะกลัวว่ามันจะตกลงมา เด็ก ๆ เอะอะเจี๊ยวจ๊าวกันทั้งอาคาร ครูต้องหยุดสอน ผมจำได้ว่ามีภารโรงและนักเรียนชั้นมัธยมคนหนึ่ง ปีนขึ้นไปไล่มันจนลงมาจากโครงหลังคา มุดสังตัวนี้คงจะหลงมาจากบนเขาหลังโรงเรียนแน่นอน เรื่องราวมุดสังบนหลังคา ยังไม่น่ากลัวเท่ากับเรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้คำร่ำลือมากมายแว่วมาให้ได้ยินอยู่เสมอว่า ที่อาคารแห่งนี้… มีผี.. และเป็นผีที่ดุมากกกกก ฟังแล้ว.. เชื่อว่าเด็กทุกคนต้องกลัว ผมฟังคนโน้นเล่าทีคนนี้เล่าที แต่ไม่ชัดเจนเท่าคุณครูประจำชั้นของผมคนหนึ่งที่เล่าให้ฟังว่า
“มีอยู่วันหนึ่งก่อนเข้าแถวเคารพธงชาติตอนเช้า ครูเดินมาที่อาคาร มีนักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นมาและหวีดร้องด้วยความตื่นตัว ทุกคนวิ่งออกมานอกอาคาร พอครูถามว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กบอกว่าตกใจผี มีผีอยู่ในห้อง ครูทำเป็นใจแข็งและดุเด็กว่าผีที่ไหน โลกนี้ไม่มีผีหรอก แต่เด็กยืนยันว่ามีเพราะเขาเห็นมากับตาตัวเอง ครูถามว่าผีตัวแบบไหน เด็กตอบว่า ห่มผ้าสีขาวตั้งแต่หัวลงมาเลย ครูแกล้งแข็งใจบอกเด็กว่า ให้พาครูไปดู ทั้งที่ตัวเองก็เริ่มกลัวขึ้นมา ครูเดินนำหน้าเด็ก เด็ก ๆ เดินตามเป็นงูกินหางไปที่ห้องนั่น โชคดี-ตอนที่ครูไปถึง ไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติ ครูรีบบอกเด็ก ๆ ว่า เห็นมั้ย ผีไม่มีหรอก ปากบอกเด็กได้ แต่ในใจตัวเองคิดไปว่า ถ้าผีมีจริงจะทำพรือดี
แต่เด็กยังไม่ยอมแพ้ เขายังบอกครูว่าเขาเห็นจริงๆ ครูต้องรีบตัดบทว่า ไม่มีหรอกหนูตาฝาด ในความรู้สึกครู ครูบอกได้เลยว่าห้องนั้นมีความพิเศษกว่าห้องอื่น ๆ เพราะกลางห้องมีเสาต้นหนึ่งที่มีรอยต่อของไม้ ท่อนบนของเสามีทองคำเปลวติดอยู่หลายแผ่น ถ้าวันไหนฝนตก-ห้องนี้จะมืดผิดปกติ มืดกว่าห้องื อื่น ๆ ทุกห้อง แต่นั่นอาจจะเป็นเพราะอยู่ด้านในสุด ติดกับห้องเรียนชั้นม ป.ปลายและติดกับห้องน้ำ แต่พูดก็พูดเถอะ ตอนเด็กก้มหน้าก้มตาทำแบบฝึกหัด ครูมักจะได้ยินเสียงเหมือนคนคุยกันเสมอ แต่ไม่ใช่เสียงเด็กแน่นอน เพราะเด็กไม่ได้คุยกัน” ทำไปทำมาเล่าเรื่องอาคารไม้คล้ายจะกลายเป็นเรื่องผี ผมว่าเด็กรุ่นเก่าจะผูกพันกับอาคารหลังนี้มาก เสียดายที่ปัจจุบันไม่มีให้เห็นแล้ว มีเพียงสนามหญ้าสีเขียว และพื้นที่บริเวณนี้คุณตาขายให้บุคคลภายนอกไปหลายสิบปีแล้ว
มีน้องถามเรื่องที่มาของชื่อโรงเรียนสถาพรพิทยา เรื่องนี้เป็นชื่อของลูกสาวคุณตา.. “สถาพร ณ ถลาง” ครูสถาพรเป็นครูใหญ่คนแรกของโรงเรียน มีรูปให้ดูด้วยครับ(ขอบคุณรูปครูสถาพรจากนิตยสารเมืองโบราณ) ผมเขียนเรื่องโรงเรียนทีไร สุขหัวใจทุกครั้ง ภาพเก่า ๆ แวะเวียนมาในห้วงคำนึงเสมอ ความจริงอยากเขียนเรื่องอื่น ๆ อีก แต่หาภาพประกอบยากเหลือเกิน ผมเคยไปขอภาพเก่า ๆ จากผู้บริหารโรงเรียน แต่ไม่ได้อะไรมาสักภาพ แม้กระทั่งภาพคุณตาคุณยาย เขาบอกว่าไม่มี ภาพเก่าที่ผมลงผมได้มาจากคุณครูยาจิตร์ ตันติสุทธิเวช หรือเจ๊เนี้ยวของพวกเรา…
ขอบคุณครูมาก ๆ ครับ
ถ้าเพื่อนคนไหนมีรูปเก่าของตะกั่วป่า บอกนะครับ จะได้มาเขียนเล่าให้ฟังกันทั่วหน้า