บางคราต้องยอมรับว่าเรามิอาจจด และจำ ความผิดพลาดทั้งความคิดและการกระทำ หากมิได้ใคร่ครวญ ทบทวน เรื่องราวที่รับรู้จากความเชื่อ ความศรัทธาอันแอบแฝงอคติสอดแทรก ย่อมทำให้ความจริงถูกบิดเบือน
….ในบ้าน
แต่ละคนย่อมมีความคิด ชอบ ที่แตกต่าง ช่องว่างหรืออะไรสักอย่างที่ขาดหายไป อีกทั้งภาระหน้าที่บั่นทอนสัมพันธภาพ
…โลกภายนอกที่วุ่นวายจนดูคล้ายทุกอย่างเร่งรีบเข็มนาฬิกาวัน-คืนล่วงผ่านไปอย่างรวดเร็ว สังคมเมือง ที่ตื่นเช้าขึ้นมา ใบหน้าตึงเครียด แก่งแย่งแข่งขัน เพื่อให้ถึงที่หมายกลับกลายเป็นอดีต วิถีชีวิตที่คุ้ยเคยกับสภาวะเช่นนั้นกลับหยุดนิ่ง ราวกับโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ เวลา-ทั้งวัน ทั้งคืนต้องอยู่ที่พำนัก ปฏิสัมพันธ์ที่เคยเว้นว่างทิ้งระยะห่าง เรากลับมีเวลาให้กันและกัน
…ระหว่างรั้วกั้นขอบเขตประเทศที่ไม่มีพรมแดนความคิด สินค้าสิทธิเสรีภาพนิยมสร้างกฎเกณ์การค้าแบบเสรีผูกขาดผลประโยชน์และความมั่งคั่งอยู่กับคนกลุ่มเล็ก ๆ จะแตกต่างกันอย่างไรกับแบ่งแยกเผด็จการเป็นมารแล้วยกตนเป็นเหล่าทวยเทพ
…นอกโลกกับยุคสมัยที่มวลมนุษยชาติกำลังเห่อกับการนั่งจรวดเสาะแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าบนดาวอังคาร ดูเหมือนการเดินทางของมวลมนุษย์จะไกลห่างไปจากโลกขึ้นทุกที น่าแปลกก็ตรงที่ยิ่งก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกลับมองเห็นความมืดมัวของจิตใจ เรื่องเล่าเรื่องในดินแดนแห่งความสุข ดินแดนที่กำลังต่อสู้เพื่อรักษาดุลยภาพของสิ่งแวดล้อม ภาคภูมิใจในอัตลักษณ์วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนไว้ได้อย่างไรท่ามกลางพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง
“พวกเราชาวลายัป*มีทั้งข้อดีข้อเสีย”คำของผู้เฒ่าท่านหนึ่ง
“แต่สุดท้ายแล้ว ความภูมิใจสูงสุด ของเราก็คือแผ่นดินกับตัวเราเอง ใช่เราออกไปค้าขาย ไปซื้อข้าวซื้อของ ไปดื่มเหล้าเคล้าผู้หญิง เราบ่นถึงความยากลำบาก ต้องแบกของหนัก เส้นทางธุรกันดารเรารู้สึกอึดอัดขัดใจกับความล้าหลังของเรา แต่เราไม่อยากเป็นอะไรนอกจากชาวลายัป”

ณ โรงละครที่ต่างคนต่างเลือกบทบาทหน้าที่ อยู่ที่ว่าเราจะเลือกเล่นบทอะไร แสดงได้ยาวนานแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับเวลาของแต่ละคน…

*ชาวลายัป
อาศัยเมืองลายา บนภูเขามาซากัง : ภูฐาน

: ฝาย ชะลอน้ำ