บันทึกคนหลงทาง : อัยย์ รินทร์
ช่วงเวลาในแต่ละวัน หากมีพื้นที่ว่างให้ได้ทบทวน ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ล่วงผ่าน เย็นย่ำวันหนึ่งจากจุดสุงสุดเหนือคุ้งน้ำแม่เจ้าพระยา เพ่งพินิจถึงการล่องลอยของผักตบชวา เกลียวคลื่นระยิบพราวสะท้อนแสงอักกะยามย่ำค่ำ มีคำถามมากมายผ่านแง่มุมความคิด แม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อ ๕๐๐ ปีก่อนจะเป็นอย่างไรกันหนอ? เกาะแก่งต่างๆ ที่ ฌาคส์ นิโกลาส์ เบแล็ง นักเขียนแผนที่ชาวฝรั่งเศส วาดเมื่อ ๓๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา ยืนยันหลักฐานถึงการมีอยู่?
ย่อมมิอาจรู้ได้ หากแต่สิ่งที่รู้และเห็นคือสายนทีแห่งชีวิตแห่งนี้ ยังคงไหลหล่อเลี้ยงสรรพชีวิต จากหยดน้ำในราวป่า โตรกผา ขุนเขา หลอมรวมเป็นลำธาร ลำคลอง สู่แม่น้ำ ก่อกำเนิดชุมชน เมือง อู่อารยธรรม วัฒนธรรม ประเพณี มหานครที่เคยรุ่งเรือง เฟื่องฟูและดับสลาย เปลี่ยนผ่านไปตามกาล
ใช่หรือไม่? เราต่างเป็นส่วนหนึ่งของการเร่งเร้าให้เกิดธรรมชาติภิบัติ ด้วยปลายนิ้วสัมผัสลงบนปุ่มสวิทช์ มหานทีอันยิ่งใหญ่ ถูกฉีก ถูกแบ่ง กั้นกาง ภาพหาดทรายทดแทนผืนน้ำ ปลาน้อย-ใหญ่นอนตายกลาดเกลื่อน ผืนป่าที่เคยเขียวขจีถูกทำลาย แม้แต่เกลียวคลื่นสาดซัดเข้าหาฝั่งนำมาซึ่งขยะ พลาสติกและซากสัตว์ทะเลที่หลงคิดว่านั่นคืออาหารอันโอชะของมัน ว่าไหม?! แท้ที่จริงของความเจริญรุ่งเรืองของเมืองศิวิไลซ์ คือการเคลื่อนย้ายภูเขามาถมทับพื้นที่ราบลุ่ม ก่อสร้างตึกสูงระฟ้าในจินตภาพให้เป็นจริง
สองฟากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งหนึ่งดารดาษไปด้วยแสงไฟนีออนจากชุมชน เมืองและมหานครแห่งความรุ่งโรจน์ ทว่าอีกฝั่งยังคงมีแมกไม้ ทุ่งหญ้าและบ้านเรือนที่เว้นระยะห่าง คุ้งโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา ณ บริเวณสามโคก ยามตะวันชิงพลบกับเวิ้งฟ้าที่เงียบสงบจนสุดสายตา วันนี้ ณ ห้วงยามนี้กับอนาคตที่อาจมีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป สิบปี ยี่สิบปีหรืออีกร้อยปีข้างหน้าจะเป็นเช่นไร?…
แสงไฟดวงน้อยจากเรือโยงลากพวงเรือขนทรายทวนกระแสน้ำ ในความเงียบงัน คืนวันผันผ่านไปตามการหมุนรอบตัวเองของโลก ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนดำเนินไปตามวัฏจักร เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ก็หวังแต่เพียงว่าภาพที่ผมได้บันทึกไว้จะเป็นเรื่องเล่าให้คนในอนาคตได้สัมผัสถึงกาลครั้งหนึ่ง เวิ้งฟ้า สายน้ำที่ไหลวกวน คุ้ง โค้งลำนำแม่เจ้าพระยา ณ กาลครั้งหนึ่งที่เมืองสามโคก