บันทึกคนหลงทาง : อัยย์ รินทร์

ณ กึ่งกลางสะพานขณะยืนรับลมยามย่ำค่ำ แสงนีออนหลากสีสันสะท้อนระลอกคลื่นระยิบระยับพราว บทเพลงขับกล่อมเหล่านักดื่มด่ำความสุขบนเรือสำราญที่กำลังสวนทางกับเรือโยง พ่วงเรือขนทราย ดวงไฟนีออนจากตึกน้อยใหญ่ ตึกสูงระฟ้าที่ห่างไกลไปสุดสายตาทำให้ฟ้าในเมืองกรุงไม่เคยมืด หากเป็นบ้านนอกคอกนา ท้องฟ้าคงพร่างพราวไปด้วยดวงดาว

ผมไม่กล้ายืนเกาะใกล้ราวสะพาน เพราะเกรงว่าใครเห็นอาจคิดว่า ชายวัยกลางที่ยืนกลางสะพานคิดสั้น ไม่หรอกน่าโลกยังมีอะไรมากมายให้น่าดู น่าชม เกินกว่าจะจากไปก่อนวัยอันควร ยิ่งหวนนึกถึงบทสนทนาระหว่างผมกับชายชราร่างเล็กก่อนหน้า อันที่จริงเราเจอกันบ่อยที่สวนสาธารณะเชิงสะพานเพราะตะแกจะเป็นเดียวที่เดินสวนทางกับกลุ่มนักออกกำลังกายคนอื่น ๆ รวมทั้งผม และทุกครั้งที่เผชิญหน้ากัน ชายชรามักจะโค้งศรีษะยิ้มให้ ทักทายเป็นประจำ

แต่เย็นย่ำค่ำนี้ตะแกนั่งอยู่ที่เก้าอี้สาธารณะสายตาเหม่อมองราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ผมหยุดเดินออกกำลังกาย ทักทายสวัสดี แกยิ้มรับพลางเชื้อเชิญให้ผมนั่งลงไม่นานนักเรื่องราวมากมายพรั่งพรูออกมา
“ตอนวัยรุ่นอายุน่าจะไล่เลี่ยกับคุณ-ผมไปเป็นทหาร คุณรู้ไหมผมเคยไปรบที่สงครามเวียดนาม หน่วยที่ผมไปชื่อหน่วยเสือดำ ประจำการที่ไซ่ง่อน” สีหน้าท่าทางของตะแกจริงจัง

ใจหนึ่งผมรู้สึกไม่ค่อยเชื่อคำบอกเล่าของชายชราสักเท่าไหร่ เพราะรูปร่างของตะแกสูง ๑๖๐ ซม.โดยประมาณ ข้างตัวเล็กและบอบบาง ทว่าเมื่อผมฟังต่อเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมพื้นที่ในการป้องกันฐานที่มั่น วางกับดักระเบิด หน่วยลาดตระเวณและที่สำคัญคือพื้นที่ของใครคนนั้นรับผิดชอบ

ในการขุดหลุมฝังศพฝ่ายตรงข้าม ฟังชายชราเล่าจนทำให้ผมจินตนาการเห็นภาพเหตุการณ์และบทสรุปก็คือ  “สงครามไม่เคยทำให้ใครได้ชัยชนะ มีแต่ผู้พายแพ้และคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ที่ต้องบาดเจ็บล้มตาย” เราสนทนากันหลากหลายเรื่องราว แม้สิ่งเหล่านั้นจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่สมองคนเราเหมือนลิ้นชักที่กักเก็บข้อมูลความทรงจำในวันเก่าก่อนเอาไว้อย่างดีและพร้อมจะฉายภาพเหล่านั้นออกมา เมื่อเราได้ระลึกถึง…

ชายชราอายุอานามปาเข้าไป ๘๐ กว่าๆ แต่ตะแกยังคงหวงแหนทุกๆ เสี้ยววินาทีแห่งการดำรงอยู่-ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า อย่างน้อยการนั่งดูดอกลีลาวดี ดอกแล้วดอกเล่าร่วงหล่นสู่พื้น ฟังเสียงหมู่นกต่างเริงร่าโผบิน อยู่บนฟากฟ้าหรือตามกิ่งไม้ ผีเสื้อหลากหลายสีสันบินๆ หยุดๆ ดอมดมกลิ่นเกสร กระรอกน้อยกระโจนทะยานตามกิ่งไม้ ต้นนี้ไปต้นนั้น

ริ้วคลื่นสะท้อนแสงนีออนหลากสีสันวับวาว บนท้องถนนยวดยานต์พาหนะกำลังคืนคลานผ่านไปอย่างช้า ๆ เวลาที่หายไปเดินทางแค่เพียงชั่วระยะห่างบ้าน ที่พักไม่ไกลสักเท่าไหร่ แต่คนเมืองต้องใช้ชีวิตอยู่ในรถแทนที่จะได้พักผ่อนหย่อนกาย ได้อยู่ร่วมกับครอบครัว น่าเสียดาย…เวลา-เวลาที่ธรรมชาติให้มาเท่าเทียมกัน แต่วิถีชีวิตคนเมืองหลวง นั้นวุ่นวาย  เพราะวัยชราที่มาพร้อมกับประสบการณ์เวลาคือสิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตของคนๆ หนึ่ง ได้มีความสุข-ทุกข์คละเคล้าปนเป

วลีภาษาละตินคำหนึ่ง ซึ่งขอหยิบยืมมาจากคอลัมป์หนังสือพิมพ์ฉบับนั้น(จำไม่ได้ลืมไปเสียแล้ว) เขาบอกว่า “Amor fati”มีความหมายว่า”จงรักในชะตาชีวิต” เพราะเวลาทุก ๆ วินาทีมีค่าเกินกว่าจะปล่อยให้ล่วงเลยผ่านไป.

ราตรีสวัสดิ์.