บันทึกคนหลงทาง: อัยย์ รินทร์

เวลาใดที่มองไปบนฟ้า… 
อารมณ์ที่สัมผัสและรู้สึกได้ถึงความอิสระ ก่อรูปเปลี่ยนร่าง ไร้พันธะ ล่องลอยตามลมพัดนำพา ความจริงแล้วทุก ๆ สิ่งรอบตัวล้วนมีส่วนกล่อมเกลาให้เกิดสุนทรียภาพ อันจะไปนำสู่การสร้างสรรค์ศิลปะ หากแต่ขึ้นอยู่กับแง่คิดและมุมมอง มีนิยามถึง “ก้อนเมฆ”มากมายที่สะท้อนผ่านอารมณ์ความรู้สึกเรียงร้อยเป็นถ้อยวลี จากปลายพู่กัน วิถีศิลปะสมัยใหม่ด้วยปุ่มลั่นชัตเตอร์…หรือท่วงทำนองของบทเพลง 

บางแง่มุมของเหตุและผล.. 
ด้วยคำอธิบายที่มีรูปแบบสูตรสำเร็จ การเดินทางของก้อนเมฆเกิดจากควบแน่นของไอน้ำในอากาศ รวมตัวกันด้วยอณูเล็กๆ ของแกนกลั่น เช่น ฝุ่น ละอองที่ลอยอยู่ในอากาศ เป็นตัวช่วยให้เกิดการรวมตัวกันของไอน้ำ กลายเป็นก้อนเมฆที่มีหลากหลายขนาดและรูปร่างที่แตกต่างกันออกไป ล่องลอยไปบนฟากฟ้า กระทั่งถึงจุดอิ่มตัวก็โปรยปรายลงมาเป็นสายฝน

ก้อนเมฆนั้นบางเบา สัมผัสได้แค่เพียงความรู้สึก การเดินทางของมันอิสระ ไม่มีน่านฟ้าใดปิดกั้นแบ่งแค่ชั้นต่างๆ ตามลำดับความสูง-ต่ำ เราแทบไม่รู้เลยว่าเมฆแต่ละก้อนเดินทางมาจากที่ใด มันข้ามพรมแดนอารยธรรมใดมาบ้าง บางทีอาจจะมาจากดินแดนตะวันออกกลาง หรือไม่ก็ข้ามขอบฟ้ามาจากตะวันตก รู้แต่ว่า…มันคงเลื่อนไหลไปกับสายลม

การเดินทางอันแสนยาวไกลมันลอยไปด้วยความบริสุทธิ์ แต่ก้อนเมฆที่ลอยมาจากบางแห่งอาจนำพามาซึ่งความวุ่นวาย โลกไม่เคยปรากฏความเสมอภาค เท่าเทียมจะมีก็แค่ ทุก ๆ วันแจกจ่ายให้กับทุกผู้คน ๒๔ ชั่วโมง ในขณะที่วิถีคนเมืองศิวิไลซ์ในแต่ละวันเวลาหมดไปกับการเดินทาง ทว่าก้อนเมฆยังคงล่องลอยไปตามการพัดพาของสายลม…

มีเรื่องเล่าสมมุติขึ้นมาเมื่อ ๑๐ กว่าปีก่อน โมงยามแห่งความเร่งรีบผู้คนที่คลาคล่ำไปทั่วบริเวณชานชาลาของสถานีรถไฟใต้ดิน ชายร่างสูงผอมบางคนหนึ่งยืนปะปนอยู่ท่ามกลางผู้คน ในมือของเขาถือถุงกระดาษ ซึ่งบรรจุสิ่งของลักษณะคล้ายหลอดไป เขาหันซ้าย มองขวาจนมั่นใจจากนั้นก็โยนวัตถุดังว่าลงบนรางรถไฟ วัตถุนั้นแตกกระจายพร้อมกับการลอยฟุ้งกระจายของละอองฝุ่นสีขาว ไม่มีใครสนใจ ทุกคนต่างวุ่นวายกับการขึ้นขบวนรถ มวลอากาศค่อย ๆ แผ่ทั่วบริเวณทุกคนสูดดมเข้าไป ปอดถูกทำลาย ระบบหายใจถูกทำลายจนทำให้ล้มตายเป็นจำนวนมาก

อีกเรื่อง…กลางดึกของค่ำคืนหนึ่งปรากฏเงามืดเหนือน่านฟ้าใจกลางมหานคร มีบางสิ่งถูกโปรยลงมาจากนกเหล็กคือฝุ่นละอองที่ควบรวมกับอากาศ คืออาวุธชนิดร้ายแรงที่คร่าชีวิตผู้คน…แม้จะเป็นแค่เพียงเรื่องสมมุติแต่ไม่มีสิ่งใดพิสูจน์ได้ว่ามีเค้าของความจริงหรือไม่ 

ในยุค“นิว นอร์มอล”ยุคแห่งความหวาดระแวง เมื่อเชื่อร้ายแพร่กระจายได้อย่างง่ายดาย มันอาจเดินทางมากับลมหายใจ สัมผัสทางกายหรืออะไรก็ช่าง หากแต่การทุก ๆ เดินทางจากที่หนึ่งไปสู่ที่หนึ่งย่อมนำมาซึ่งผลกระทบทั้งจากความตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ อีกซีกฟากโลกท้าทายก็บาดเจ็บ ล้มตายเป็นจำนวนมาก เศรษฐกิจการค้าพังพาบ ในขณะอีกฟากทวีปกำลังแปรสถานะสู่นัมเบอร์วันธรรมดาเมื่อล้ำหน้าก็อาจถูกปัดแข้งเตะขาด้วยวิถีการสุมหัว มิใช่เพิ่งจะบังเกิดหากเคยเกิดขึ้นมาแล้ว และนั่นคือบทเรียนแห่งประวัติศาสตร์

…ก้อนเมฆล่องลอย อิสระและบางเบา หากแต่ยังมีการแบ่งชั้นสูงต่ำเฉกเช่นนั้นเราจะควานหาความเท่าเทียมได้อย่างไร?